วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อันตราย ในไอศกรีม

"Adsense Ads"

7 สารสังเคราะห์ อันตราย... ในไอศกรีม!!

ไอศกรีม อาหารว่างเย็นๆ ที่เป็นของโปรดของเด็กๆ หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่หลายคน ต่างชื่นชอบในรสชาติของไอศกรีมกันทั้งนั้น แต่หารู้ไม่ว่า สารสังเคราะห์จากสารเคมีบางอย่าง ที่ใช้เป็นสารเติมแต่งรสชาติและแต่งแต้มสีสันในไอศกรีมบางยี่ห้อนั้น ได้นำพาสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของผู้บริโภคเสียแล้ว ที่เลวร้ายกว่านั้น ผู้ผลิตไอศกรีมหัวใสบางราย ยังได้นำไขมันที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์มาใช้เป็นส่วนผสมในไอศกรีม ซึ่งไขมันจากสัตว์นั้นมีจำนวนของไขมันอิ่มตัวที่สูง เป็นไขมันชั้นเลวที่หากบริโภคไปมากๆ จะก่อให้เกิดโรคอ้วนและไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ สำหรับสารสังเคราะห์จากสารเคมีที่เป็นอันตราย และได้มีการนำมาผสมในไอศกรีมนั้น มีดังต่อไปนี้

1. ไดอิธิลกลูคอล( Diethyl Glucol)
สารเคมีราคาถูก ที่ใช้ในการตีไขมันให้กระจายแทนการใช้ไข่ สารชนิดนี้เป็นสารกันเยือกแข็งที่ใช้กันน้ำแข็งไม่ให้ละลายเร็ว และใช้ในน้ำยากัดสีด้วย

2. อัลดีไฮด์ – ซี71(Aldehyde-C71)
เป็นสารที่ใช้ใน การสร้างกลิ่นที่ไม่ค่อยมีในประเทศไทย เช่น เชอร์รี่ และเพื่อให้ไอศกรีมเป็นของเหลวติดไฟง่าย และยังนำไปใช้ทำสีอะนิลีน จำพวกพลาสติกและยาง

3. ไปเปอร์โอรัล( Piperoral)
ใช้แทนกลิ่นวานิลลา เป็นสารเคมีเดียวกับที่ใช้ผสมในยาฆ่าเหาและหมัด

4. อิธิลอะซีเตท (Ethyl acetate)
ใช้สร้างกลิ่นรส สับปะรด อีกทั้งยังใช้เป็นตัวทำความสะอาดหนังและผ้าทอ กลิ่นของสารเคมีตัวนี้ก่อให้เกิดโรคปอดเรื้อรัง ตับ และหัวใจที่ผิดปกติ

5. บิวธีรัลดีไฮด์(Butyraldehyde)
ใช้สร้างกลิ่นรสเมล็ดในผลไม้เปลือกแข็งเช่น ถั่วต่างๆ สารนี้เป็นสารที่ใช้เป็นสารประกอบสำคัญในกาวยาง

6. แอนนิล อะซีเตท(Anyle acetate)
สารนี้จะให้กลิ่นกล้วยหอม และเป็นสารที่ใช้ทำลายล้างไขมัน

7. เบนซิล อะซีเตท(Benzyle acetate)
เป็นสารที่ใช้สร้างกลิ่นและรสสตรอเบอร์รี่เป็นสารละลายไนเตรท ทำให้เกิดความอยากอาหาร

สารเคมีที่กล่าวมาทั้งหมด เช่น สารกันเยือกแข็ง ตัวทำละลายน้ำมัน น้ำยาลอกสี ยาฆ่าเหาและฆ่าหมัด นั้น ไม่ใช่ว่าในไอศกรีมทุกยี่ห้อจะมีสารเหล่านี้ทั้งหมด บางยี่ห้ออาจจะผสมสารตัวนี้หรือตัวอื่น นอกจากสารที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีการใช้สารให้ความหวาน คือ แซคคารินหรือน้ำตาลเทียม เติมเพื่อให้มีสีและกลิ่นที่หอมหวาน

ซึ่งสารแซคคารินนั้นได้มีการพิสูจน์แล้วว่า มีส่วนสนับสนุนทำให้เกิดมะเร็งได้เช่นกัน ไอศกรีมนั้นเป็นอาหารขยะชนิดหนึ่งที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายพอสมควร ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของผู้ผลิตบางราย และความพอดีในการบริโภคของตัวผู้บริโภคเอง ที่ต้องดูแลเรื่องการบริโภค ให้ได้สัดส่วนที่พอดีกับความต้องการของร่างกายอาหารขยะ!! ก็คือขยะที่ร่างกายเราไม่จำเป็นต้องกิน ก็สามารถอยู่ได้ไม่ใช่หรือ??

ที่มาจากหนังสือพิมพ์



"Adsense Ads"

โรคที่คนมักเป็นกันมากในปัจจุบัน

"Adsense Ads"

โรคโลหิตจาง
ควรรับประทานวิตามินบี 12 มากๆ แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 คือ นม เนยแข็ง ปลาชนิดต่างๆ และเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ


โรคผิวหนังอักเสบ โรคนอนไม่หลับ โรคขนร่วง
หมั่นรับประทานอาหารที่มีไบโอตินมากๆ แหล่งอาหารที่มีไบโอตินมากๆ ก็คือ ตับ ถั่ว ยีสต์


โรคโลหิตจาง โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ โรคตะคริว โรคผิวหนังอักเสบ
ควร รับประทานอาหารที่มี วิตามินบี 6 สูง จะช่วยต้านโรคดังกล่าวได้แหล่ง อาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง คือ ข้าวโพด นม ถั่วเหลือง ไข่ ปลา ข้าวสาลี


โรคเหน็บชา โรคอาการประสาท (ฉุนเฉียวง่าย)
ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 คือ ถั่วลิสง ตับ ถั่วหมัก กระเทียม เต้าหู้ ข้าวซ้อมมือ รำข้าว


โรคกระดูกอ่อน
รับประทานวิตามินดีเป็นประจำเนื่องจากวิตามินดีมีหน้าที่ช่วยดูดซึม แคลเซียมและฟอสฟอรัส เช่น เห็ดหอม ตับ ปลาทูน่า ปลาแห้งต่างๆ


โรคผิวหนังไม่นุ่มนวลสดชื่น
หมั่น รับประทาน ไข่ นม เนย ตับสัตว์ มะละกอ มะเขือเทศ ข้าวโพดอ่อน ถั่วงอก อาหารเหล่านี้จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น ไม่แห้งกร้านได้ดีเยี่ยม


โรคสมอง (ในเด็ก)

หมั่น รับประทานวิตามินเค ที่สามารถจะทำให้เลือดแข็งตัวได้ดีหากเกิดบาดแผล แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเค คือ ตับ เนย ผักชีฝรั่ง สาหร่ายทะเล กะหล่ำปลี โสม ผักบุ้ง ถั่วหมัก


โรคนิ่ว

สามารถ ต้านโรคนิ่วด้วยการรับประทานรำข้าวเป็นประจำ เนื่องจากในรำข้าวนั้น มีโปรตีนที่จะช่วยลดการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ หากไม่สะดวกในการรับประทานรำข้าวละเอียด ควรนำมาดัดแปลง เป็นขนมหรืออัด หมั่นรับประทานข้าวซ้อมมือเสมอๆ ก็จะช่วยต้านโรคนิ่วได้


โรคเบื่ออาหาร
อาหาร ที่สามารถขจัดโรคนี้ได้อย่างดีที่สุดก็คือ ไข่ อาหารทะเล ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ตำลึง ผักบุ้ง ฟักทอง ถั่วงอก เนย คาร์โบไฮเดรต จำพวกเส้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ มะกะโรนี และสำหรับผลไม้ทีดีคือ มะละกอ ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ กล้วย และเนื้อสัตว์


โรคไร้เรี่ยวแรง
คน ที่ไม่ค่อยมีกำลังวังชาหรือเพิ่งฟื้นฟูจากผ่าตัดหรือฟื้นจากอาการเจ็บป่วยจะ สามารถมีเรี่ยวแรง กระปรี้กระเปร่าได้ด้วยอาหารเป็นต้นว่า ตำลึง ผักบุ้ง ผักคะน้า ไข่แดง เนื้อวัว และฟักเขียว


โรคปวดท้อง
อาการ ปวดท้องที่มีเป็นประจำเรื้อรังจนเสมือนโรคประจำตัวนั้นสามารถบรรเทาได้ด้วย การรับประทานผลไม้สดมากๆ และผักสดทุกชนิดเป็นประจำสม่ำเสมอ


"Adsense Ads"

ผักผลไม้ฟอกฟันให้ขาวสะอาดได้

"Adsense Ads"


ติด ชา กาแฟมานาน ทำให้ฟันเหลืองเป็นคราบไม่น่าดู ครั้นเลิกคาเฟอีนทั้งหมดได้แล้ว แต่ฟันเจ้ากรรมก็ยังไม่ขาวอยู่นั่นเอง ทำอย่างไรดี โชคดีที่ธรรมชาติได้มอบสิ่งวิเศษสุดที่แสนธรรมดาเอาไว้ให้เรา…คือ พืชผัก ผลไม้ ที่งอกงามขึ้นมาจากผืนดินนั่นเอง จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลยแอปเปิ้ล ขึ้นฉ่ายฝรั่ง แครอต และผักผลไม้สดอื่นๆ อีกหลายชนิด ที่เราจะต้องเคี้ยวมากๆ เวลากิน สามารถทำหน้าที่ได้ดีราวกับผงซักฟอกทีเดียว

"Adsense Ads"

น้ำแอปเปิ้ล เสริมความจำ

"Adsense Ads"

บรรดาผู้ที่ติดตามข่าวคราวทางสุขภาพคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า An apple a day keeps the doctor away ซึ่งเปรียบสรรพคุณของแอปเปิลว่า การรับประทานแอปเปิลเพียงวันละผลสามารถทำให้ห่างไกลจากหมอหรือไม่ต้องไปหา หมอ ทั้งนี้เนื่องมาจากมีงานวิจัยหลายชิ้นกล่าวถึงประโยชน์มากมายของแอปเปิล ทั้งบำรุงหัวใจ ลดโคเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหารและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดการถูกโรคร้ายทั้งหลายคุกคาม และล่าสุดพบว่าการดื่มน้ำแอปเปิลยังอาจช่วยเสริมความจำและป้องกันภาวะสมอง เสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้

จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองของ University of Massachusettse Lowell (UML) เผยว่าการดื่มน้ำแอปเปิลอาจช่วยเพิ่มการสร้างของสารสื่อประสาทในสมองที่มี ชื่อว่า อะซีทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำ จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ ปกติแล้วสารสื่อประสาททั้งหลาย รวมทั้งสารอะซีทิลโคลีน เป็นสารเคมีที่ถูกสร้างและหลั่งมาจากเซลล์ประสาทเพื่อส่งต่อไปยังเซลล์ ประสาทข้างเคียง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกัน ในการควบคุมการทำงานของทุกส่วนในร่างกาย ตั้งแต่การนั่ง นอน ยืน เดิน รับประทาน รู้สึกและสัมผัส รวมถึงการนึกคิด

ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยเผยว่า โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองจนก่อให้เกิดความ บกพร่องทางความทรงจำ การตัดสินใจหรือการใช้เหตุผล โดยมักมีอาการหลงลืม สับสนหรืออารมณ์แปรปรวน ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุนั้น จะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าปกติมาก อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่มปริมาณของสารอะซีทิลโคลีน ก็สามารถช่วยเพิ่มความทรงจำ ลดการหลงลืมและสามารถชะลอภาวะเสื่อมของสมองในผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่เผยว่า ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างพวกบลูเบอร์รี แอปเปิลนั้น ก็มีส่วนช่วยชะลอภาวะความจำเสื่อมในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และยังให้ผลดีกว่าพวกอาหารเสริมหรือวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทั้ง หลาย

โดยงานวิจัยนี้ได้ศึกษาในหนูทดลองปกติวัยผู้ใหญ่ วัยชรา และหนูทดลองสายพันธุ์พิเศษที่มีการตัดต่อพันธุกรรมจนสามารถเกิดอาการของโรค อัลไซเมอร์แบบเดียวกับที่เกิดในคน โดยแบ่งให้รับประทานอาหารปกติ อาหารที่ขาดสารอาหารจำเป็น หรืออาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นแต่รวมกับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแทนน้ำ เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าหนูปกติ วัยชรา และหนูที่เป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งรับประทานอาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นจะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนใน เนื้อสมองลดลง แต่ปริมาณของสารนี้กลับเพิ่มสูงขึ้นในหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นร่วมด้วย อีกทั้งเมื่อนำหนูเหล่านี้ไปทดสอบเกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ พบว่าหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นจะมีพฤติกรรมการเรียนรู้และความจำที่ดี กว่าหนูที่ไม่ดื่มน้ำแอปเปิล

จึง เป็นไปได้ว่าการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นอาจช่วยเสริมความจำ โดยมีผลการเพิ่มปริมาณของสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน ที่ช่วยกระตุ้นความทรงจำ เพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการเรียนรู้ อีกทั้งช่วยชะลอความเสื่อมของสมองอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้นและลดความ เสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งน้ำแอปเปิลเข้มข้นที่ให้หนูกินในแต่ละวัน สามารถเทียบได้กับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแก้วละ 8 ออนซ์ วันละ 2 แก้ว หรือเท่ากับการรับประทานแอปเปิลวันละ 2-3 ลูก

"Adsense Ads"

ศึกษา กบ ทำยาสมานแผลเป็น

"Adsense Ads"

กบขาขาดก็งอกใหม่ได้ คุณลักษณะพิเศษนี้ ทำให้นักวิทยา ศาสตร์นำกบมาศึกษา เพื่อว่า วันหนึ่งจะหาทางให้แขนขามนุษย์ที่ขาดหายไปนั้นงอกขึ้นมาใหม่ รวมทั้งหาวิธีผลิตยาเพื่อสมานแผลเป็นที่น่าเกลียดบนร่างกาย

ศ.เอนริเก้อ อมายา จากแมนเชสเตอร์ ยูนิเวอร์ซิตี้ หนึ่งในผู้ทำการศึกษา กล่าวว่า โปรตีนของมนุษย์และสัตว์เลือดเย็นอย่างกบและกิ้งก่านั้นใกล้เคียงกันมาก ซึ่งหมายความว่า การศึกษาสัตว์ประเภทนี้นั้น อาจนำมาใช้กับมนุษย์ได้

นักวิทยาศาสตร์จากแมนเชสเตอร์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ศึกษาการสืบต่อพันธุ์ของเนื้อเยื่อมาตั้งแต่ 10 ปีก่อน หลังจากที่ ศ.มาร์ก เฟอร์กูสัน ค้นพบว่า ตัวอ่อนของสัตว์ส่วนใหญ่ฟื้นตัวจากบาดแผลเร็วกว่าสัตว์ที่โตเต็มที่ และมีร่องรอยของแผลเป็นน้อยกว่า

โปรตีนที่สร้างความแตกต่างนี้เรียกว่า "ทรานสฟอร์มมิ่ง โกร้ธ แฟกเตอร์ เบต้า 3" และสกัดสารนี้ออกเป็นยาชื่อว่า "จูวิสต้า" ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นทด ลอง และถ้ายานี้ใช้ได้ผลจริง ก็จะนำมารักษาบาดแผลขณะผ่าตัด ด้วยการฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง

ที่มาจากหนังสือพิมพ์


"Adsense Ads"

10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

"Adsense Ads"

10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

"Adsense Ads"

มังคุดจู่โจมเซลล์มะเร็ง

"Adsense Ads"



สตรีนักวิทย์ศึกษาสารสกัดจากเปลือกมังคุด พบฤทธิ์จู่โจมเฉพาะเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยไม่สร้างความเสียหายให้เซลล์ดีที่อยู่รายรอบ มั่นใจงานวิจัยสามารถพัฒนาเป็นยามะเร็งประสิทธิภาพสูงในอนาคต

รศ.ดร.รมิดา วัฒนโภคาสิน ภาควิชาเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เปิดเผยว่า ใช้เวลากว่า 2 ปีศึกษาฤทธิ์ต้านมะเร็งจากสมุนไพร หลังจากเชื่อว่าสมุนไพรบางชนิด อาทิ มังคุด ขมิ้นชัน ใบพุทรา สามารถต้านเซลล์มะเร็ง ทั้งนี้ ผลจากการทดสอบพบว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถจัดการกับเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี แม้จะใช้เพียงเล็กน้อยเพียง 4 มิลลิกรัมก็ตาม

สารสกัดจากเปลือกมังคุดที่นำมาใช้ในการศึกษานี้ ได้รับการสนับสนุนจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยการทดสอบพบว่า สารสกัดในปริมาณ 4 มิลลิกรัมดังกล่าว สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้กว่า 50% ของเซลล์มะเร็งทั้งหมด และจากการขยายผลนำสารสกัดไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งอื่น ก็พบว่าสามารถออกฤทธิ์ดีในการทำลายเซลล์มะเร็งลำไส้และเซลล์มะเร็งตับ

นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้ศึกษาเทคนิคการรักษามะเร็งด้วยยีนบำบัด โดยนำสารสกัดจากมังคุดใส่ในเม็ดบีดขนาดจิ๋วระดับนาโน จากนั้นอาศัยไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนตัวและไม่เป็นอันตราย เป็นตัวนำเม็ดบีดนั้นเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ซึ่งวิธีดังกล่าวสามารถที่จะประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย หรือโรคเลือดจาง ส่วนสารสกัดจากสมุนไพรขมิ้นชันและใบพุทรา ยังอยู่ระหว่างการศึกษา

ทั้งนี้ จากผลงานการศึกษาเกี่ยวกับสารสกัดจากสมุนไพร กับการทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ในการผลิตเป็นยามะเร็งประสิทธิภาพสูงต่อไปในอนาคต จึงส่งผลให้ รศ.ดร.รมิดา วัฒนโภคาสิน ผ่านการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับรางวัลสตรีนักวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2547 จากลอรีอัล

"Adsense Ads"